อาหารไทยมีรสชาติเข้มข้นเป็นพื้นหรือที่เรียกในภาษาปาก ว่า ‘แซ่บ’ รสนี้เป็นที่นิยมของคนไทยส่วนใหญ่ อาหารประเภทยำจึงตอบโจทย์ผู้ที่ชอบอาหารรสจัด ในปัจจุบันมีร้านยำเปิดใหม่จำนวนมาก ทำให้ยำเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เข้าถึงคนทุกกลุ่ม เมนูยำมีอยู่หลากหลายชนิด โดยมากมักนำผักหรือผลไม้ที่มีมากในชุมชนมายำเพื่อเพิ่มรสชาติ เช่น ยำส้มโอ ยำมะม่วง ยำปลาช่อนแดดเดียว นอกจากนั้น ยำบางชนิดใช้อาหารที่ได้รับความนิยมมาปรุงเป็นเมนูยำด้วย เช่น ยำกุ้งสด ยำปูม้า ยำขนมจีน อาจกล่าวได้ว่า เมนูยำเป็นเมนูที่สามารถดัดแปลงให้เข้ากับวัตถุดิบได้หลากหลาย สามารถเลือกวัตถุดิบที่มีในครัวทั้งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์มาทำเป็นยำได้เลย และยังสามารถปรับรสชาติให้เหมาะกับผู้รับประทานได้อีกด้วย

คำว่า ‘ยำ’ มีความหมายตรงตัวว่า ผสม คลุกเคล้า ดังนั้น ‘ยำ’ จึงหมายถึงกรรมวิธีการทำอาหาร คือการนำวัตถุดิบและเครื่องปรุงต่าง ๆ มาคลุกเคล้ากัน จะเห็นว่าคำว่า ‘ยำ’ ไม่ได้หมายรวมถึงรสชาติ เพราะว่าแต่เดิมนั้นรสชาติของยำไม่ได้ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด และมีรสจัดเท่าปัจจุบัน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยำโบราณอย่าง ‘ยำทวาย’ อาหารชาววังที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ไม่ได้มีรสเผ็ดเท่าปัจจุบัน เป็นเพียงยำที่ทำจากผักนานาชนิดและเนื้อสัตว์ ราดน้ำปรุงครบรส ทั้งเค็ม หวาน เปรี้ยว และมีความเผ็ดเล็กน้อยจากน้ำพริกเผา และใส่หัวกะทิเพื่อเพิ่มความมัน รับประทานคู่กับหอมเจียวกรอบ ๆ จะเห็นว่า ‘ยำทวาย’ นี้แตกต่างจากยำในปัจจุบันคือ ไม่ใส่กะทิ มีรสเปรี้ยวจัด เค็มจัด และเผ็ดกว่าหลายเท่า นอกจากนี้ ยังมีสูตรยอดนิยมที่ใส่น้ำปลาร้าเพิ่มความกลมกล่อมลงไปอีกด้วย เรียกได้ว่าเมนูยำเป็นอาหารไทยที่มีพัฒนาการมาอย่างยาวนาน